คำพิพากษาโดยละเอียด
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทย จำเลยเป็นคนสัญชาติแอลจีเรีย ประมาณปี 2545 จำเลยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและรู้จักโจทก์ ต่อมาวันที่ 8 ตุลาคม 2547 โจทก์จำเลยเดินทางไปจดทะเบียนสมรสที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามกฎหมายไทย หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยกลับมาอยู่กินฉันสามีภริยาที่อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยขอหย่าอ้างเหตุว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 โจทก์จำเลยทะเลาะกันอย่างรุนแรง หลังจากนั้นจำเลยเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านพักที่อาศัยกับโจทก์ไปอยู่ที่อื่น แล้วไม่กลับมาหาโจทก์อีกเลย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกามีว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจหยิบยกพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พ.ศ.2481 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง มาเป็นเหตุพิพากษายกฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิใช่เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย แต่เป็นบุคคลที่มีสัญชาติแอลจีเรีย พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พุทธศักราช 2481 มาตรา 27 บัญญัติว่า “ศาลสยามจะไม่พิพากษาให้หย่ากัน เว้นแต่กฎหมายสัญชาติแห่งสามีภริยาทั้งสองฝ่ายยอมให้กระทำได้ เหตุหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า” อันหมายความว่า ในกรณีที่สามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นบุคคลสัญชาติประเทศอื่นหรือต่างเป็นบุคคลที่มีสัญชาติประเทศอื่นมาฟ้องหย่าในศาลไทย ศาลไทยจะไม่พิพากษาให้หย่ากัน เว้นเสียแต่ว่ากฎหมายของประเทศสามีหรือภริยาหรือของทั้งสองฝ่ายยินยอมให้สามีภริยาที่สมรสกันตามกฎหมายแล้วสามารถหย่ากันได้
ดังนั้น คดีนี้ในเบื้องต้นจึงต้องได้ความเสียก่อนว่า กฎหมายของประเทศแอลจีเรียซึ่งเป็นสัญชาติของจำเลยมีบทบัญญัติให้บุคคลที่มีสัญชาติแอลจีเรียสามารถหย่าหรือฟ้องร้องบังคับหย่ากันได้ หากกฎหมายของประเทศแอลจีเรียไม่อนุญาตให้บุคคลที่มีสัญชาติแอลจีเรียที่จดทะเบียนสมรสแล้วหย่ากัน ศาลประเทศไทยก็ไม่อาจพิพากษาให้หย่ากันได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง
แต่หากปรากฏว่ากฎหมายแห่งประเทศแอลจีเรียอนุญาตให้บุคคลที่มีสัญชาติแอลจีเรียหย่ากันได้ ศาลจึงจะพิจารณาเหตุหย่าตามกฎหมายประเทศไทยอันเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่ฟ้องหย่าต่อไปว่า มีเหตุที่จะพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่ากันได้หรือไม่
ดังนั้น กฎหมายแห่งประเทศแอลจีเรียอนุญาตให้บุคคลที่มีสัญชาติแอลจีเรียหย่ากันได้หรือไม่ จึงเป็นข้อสำคัญแห่งคดีที่ศาลจะต้องนำมาพิจารณาคดีของโจทก์เสียก่อน และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ต้องนำสืบให้ปรากฏ เพราะกฎหมายของต่างประเทศถือเป็นข้อเท็จจริงและไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลไทยรับรู้ได้เอง
เมื่อโจทก์ไม่นำสืบกฎหมายเรื่องการหย่าของประเทศแอลจีเรียดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลว่า ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำการดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ อันเป็นการให้เหตุผลตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พ.ศ.2481 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติบังคับไว้ จึงเป็นการพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า แม้โจทก์มิได้นำสืบถึงเหตุหย่าตามกฎหมายแห่งสัญชาติของจำเลย แต่โจทก์อ้างเหตุหย่าตามกฎหมายไทยแล้ว จำเลยมิได้ต่อสู้คดี มิได้ยกข้อกฎหมายต่างประเทศมากล่าวอ้าง ศาลจึงไม่มีอำนาจหยิบยกกฎหมายแห่งสัญชาติของจำเลยมาวินิจฉัย จำเลยได้รับประโยชน์จากกฎหมายต่างประเทศจึงเป็นผู้มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ ศาลไทยต้องใช้กฎหมายไทยบังคับ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พ.ศ.2481 เป็นกฎหมายรอง เมื่อขัดแย้งกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่คดีนั้น ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ
(จรูญ ชีวิตโสภณ - พฤษภา พนมยันตร์ - บุญไชย ธนาพันธ์สิน)