คดีหมิ่นประมาท  


     ข้อหาหมิ่นประมาท เป็นคดีอาญาที่เกิดขึ้นมากและมีการฟ้องร้องกันในศาลจำนวนมาก ดังนั้น การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่ทุกคนมีสื่อเป็นของตนเอง ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นได้ จึงต้องมีสติในการทำ การพูด และการคิด และต้องอยู่ภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อมิให้ถูกฟ้องร้องเป็นคดีหมิ่นประมาท
 
     ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ก็ต้องไปดูองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
 
     มาตรา 326 เป็นความผิดหมิ่นประมาทแบบธรรมดา แต่หากหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
 
     นอกจากนี้ การหมิ่นประมาทคนที่ตายไปแล้ว ก็เป็นความผิดตามกฎหมายเช่นกัน ตามมาตรา 327  ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สาม และการใส่ความนั้นน่าจะเป็นเหตุให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ในมาตรา 326 นั้น
     องค์ประกอบความผิดหมิ่นประมาท คือ 1.การใส่ความผู้อื่น 2.ต่อบุคคลที่สาม 3.โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เป็นการประทุษร้ายต่อเกียรติที่บุคคลมีอยู่ในสังคม โดยผู้หมิ่นประมาททำให้บุคคลที่สามเป็นผู้ลดคุณค่าที่มีอยู่ในสังคมของผู้ถูกหมิ่นประมาท
 
     1. คำว่า “ใส่ความ” ตามพจนานุกรมฯ หมายถึงพูดหาเหตุร้าย กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ส่วนทางกฎหมายคำว่า “ใส่ความ” หมายถึงการยืนยันข้อเท็จจริง หรือกล่าวยืนยันความจริง หรือความเท็จ หรือเอาเรื่องไม่จริงไปแต่งความใส่ร้าย หรือเอาเรื่องจริงไปกล่าว ก็เป็นความผิด เรียกว่า “ยิ่งจริง ยิ่งผิดหมิ่นประมาท” หรือแม้แต่การเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาไปพูดให้บุคคลอื่นฟังก็เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้เช่นกัน

     สำหรับข้อความจะเป็นหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาตามความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆ ไป มิใช่พิจารณาถึงความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว
 
     2. คำว่า “ผู้อื่น” ต้องเป็นการใส่ความระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

     ส่วนการกล่าวถึงผู้หนึ่งผู้ใดในกลุ่มบุคคลโดยไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงผู้ใดโดยเฉพาะ และถ้อยคำที่กล่าวไม่อาจเข้าใจได้ว่าหมายถึงผู้ใด จึงไม่เป็นหมิ่นประมาท

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทข้อความที่กล่าวจะต้องมุ่งเจาะจงถึงบุคคลใดโดยเฉพาะ และโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความถึงบุคคลผู้ถูกหมิ่นประมาทนั้นด้วย เมื่อในคำโฆษณามีความหมายเฉพาะนายแพทย์ชายคนหนึ่งไม่มีกินความถึงนายแพทย์ทุกๆ คนของโรงพยาบาลศิริราช ทั้งโจทก์หาได้นำสืบถึงนายแพทย์คนที่ถูกใส่ความหมิ่นประมาท ก็ย่อมทราบไม่ได้ว่านายแพทย์คนใดเป็นผู้เสียหาย เมื่อตามคำฟ้องไม่มีช่องทางแสดงให้เห็นว่าจำเลยมุ่งหมายกล่าวใส่ความถึงนายแพทย์เฉลิม นายแพทย์เฉลิมจึงมิใช่ผู้เสียหายอันจะพึงร้องทุกข์ได้

พูดว่า พระวัดนี้ทุศีล ขี้เมาหยำเปฯ แม้ไม่ระบุว่าพระองค์ไหน แต่พระทั้งวัดมีอยู่รวม 6 องค์ต้องถือว่าทุกองค์เป็นผู้ได้รับความเสียหายและแต่ละองค์ย่อมมีอำนาจร้องทุกข์ได้ถือว่า หมิ่นฯ พระทุกรูปในวัด

การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ข้อความหมิ่นประมาทไม่มีข้อความในที่ใดที่ระบุชื่อและนามสกุลของโจทก์หรือพอจะให้ทราบได้ว่าเป็นโจทก์ ไม่ได้ระบุชื่อโดยชัดแจ้งว่าเป็นผู้ใด ชื่อที่ระบุเป็นเพียงอักษรย่อเท่านั้น และมิได้ระบุนามสกุล ทั้งสถานที่ทำงาน ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นที่ใดบุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความย่อมไม่อาจทราบหรือเข้าใจได้ว่าอักษรย่อ พ. หมายความถึงผู้ใดและเป็นเรื่องจริงตามที่ลงพิมพ์หรือไม่ หากต้องการรู้ความหมายว่าเป็นผู้ใดก็ต้องไปสืบเสาะค้นหาเพิ่มเติมทั้งไม่แน่ว่าหลังจากสืบเสาะค้นหาเพิ่มเติมแล้วจะเป็นตัวโจทก์จริงหรือไม่และหากหลังจากสืบเสาะค้นหาแล้วจึงทราบว่าหมายความถึงโจทก์ก็มิใช่ทราบจากข้อความที่ลงพิมพ์ แต่ทราบจากการที่บุคคลผู้นั้นได้สืบเสาะค้นหาข้อเท็จจริงมาเองในภายหลัง มิได้ทราบว่าหมายความถึงโจทก์โดยอาศัยข้อความจากหนังสือพิมพ์ ลำพังเพียงข้อความตามที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์จึงยังไม่เป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์

      3. คำว่า “โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง”  ไม่จำเป็นต้องมีผลเสียหายเกิดขึ้นจริงจากการใส่ความ แค่ ความที่ใส่น่าจะทำให้เขาเสียชื่อเสียง ก็เป็นความผิดแล้ว
 
     ส่วนข้อเท็จจริงที่จะเป็นหมิ่นประมาท หรือการใส่ความนั้นพอจะสรุปตามแนวคำวินิจฉัยศาลฎีกาได้ ดังนี้ ต้องไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นคำหยาบ หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้, ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่แน่นอน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่คลุมเครือ หรือเลื่อนลอย หรือกล่าวด้วยความน้อยใจ, ข้อเท็จจริงที่กล่าวนั้น ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันในอดีต หรือปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงการคาดคะเน หรือกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต แต่กรณีแสดงความคิดเห็นบางอย่างแม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นในอนาคต แต่หากฟังแล้วทำให้เข้าใจว่าในปัจจุบันเป็นเช่นไร ก็ย่อมเป็นหมิ่นประมาทได้
 
     ข้อความที่จะเป็นการจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องเป็นข้อความที่ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาทิเช่นเป็นการใส่ความเกี่ยวกับความประพฤติ, เป็นการใส่ความเกี่ยวกับเรื่องประเวณี หรือการอันไม่สมควรทางเพศ, เป็นการใส่ความเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หรือเป็นการกล่าวถึงความไม่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทางการเงิน เป็นต้น
ตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาตัดสินเป็นบรรทัดฐานว่าเป็นการใส่ความ และเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เช่น

จำเลยได้รับคำบอกเล่าจากญาติของโจทก์ว่า โจทก์รักใคร่กับชายในทางชู้สาว นอนกอดจูบและได้เสียกัน ต่อมามีผู้ถามจำเลยถึงเรื่องนี้ จำเลยก็เล่าตามข้อความที่ได้รับบอกเล่ามาเช่นนี้ถือว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 326

หัวข้อข่าวที่ว่า แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน คำว่าเบี้ยวมีความหมายพิเศษเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าหมายถึง ไม่ซื่อตรงหรือโกง หมายถึงแอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์ เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้านบาท และหัวข้อข่าวดังกล่าวเป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เอง ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

จำเลยพูดถึงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอว่ากระหรี่ที่ดิน คำว่า "กระหรี่" หมายความว่าหญิงนครโสเภณีหรือหญิงค้าประเวณี แม้จำเลยจะไม่ได้กล่าวรายละเอียดว่าค้าประเวณีกับใครประพฤติสำส่อนในทางเพศกับใครบ้างก็เพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำหมิ่นประมาทแล้ว

การดูหมิ่นผู้อื่น หมายถึง การดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือทำให้อับอายการวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไรเป็นการดูหมิ่นผู้อื่นหรือไม่จึงต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าว หรือเป็นการทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว เมื่อตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายคำว่า “ตอแหล” ว่า เป็นคำด่าคนที่พูดเท็จ ซึ่งมีความหมายในทางเสื่อมเสีย การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อผู้เสียหายจึงเป็นการพูดด่าผู้เสียหาย เป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่าเป็นคนพูดเท็จ จึงเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393

     จากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การหมิ่นประมาทไม่ใช่การด่ากัน แต่เป็นการใส่ความผู้อื่น ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง
 
ตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาตัดสินเป็นบรรทัดฐานว่าไม่เป็นการใส่ความ และไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เช่น

ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวต่อหน้าบุคคลหลายคนว่า โจทก์เป็นคนนิสัยไม่ดี มีความรู้สึกต่ำโจทก์เป็นคนมีหนี้สินเป็นแสนๆ ยังใช้หนี้เขาไม่หมด อวดมั่งมีคาดเข็มขัดทองไม่เป็นถ้อยคำที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

ความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องเป็นการแสดงข้อความให้คนฟังคนเห็นเชื่อ จึงจะเกิดความรู้สึกเกลียดชังดูหมิ่นขึ้นได้ จำเลยกล่าวว่าโจทก์เป็นผีปอบ เป็นชาติหมา ตามความรู้สึกนึกคิดของคนธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นได้ จึงไม่ก่อให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นแต่อย่างใด และข้อความใดจะเป็นการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ต้องถือตามความคิดของบุคคลธรรมดาผู้ได้ฟัง คำกล่าวของจำเลยข้างต้นไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท

ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวว่า “โจทก์ร่วมเป็นบุคคลวิกลจริตไม่สามารถทำงานได้เป็นคนบ้าเหมือนหมาบ้า” นั้น เป็นถ้อยคำที่เลื่อนลอยไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งเมื่อฟังประกอบข้อความตอนท้ายที่ว่า “และยังได้นำใบ ร.บ. (ระเบียนการศึกษา) ไปจำหน่ายให้กับนักเรียนด้วย”แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มุ่งหวังให้บุคคลอื่นเชื่อว่าโจทก์ร่วมเป็นบุคคลวิกลจริต ถ้อยคำดังกล่าวจึงไม่ทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

     จากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น แสดงว่า การกล่าวข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ผีปอบหรือชาติหมา ย่อมไม่ทำให้คนเชื่อ ไม่ก่อให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
 
เหตุที่ยกเว้นความผิดหมิ่นประมาท กฎหมายบัญญัติไว้ 4 ประการ ตามมาตรา 329  “ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต

     (1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม

     (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่

     (3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ

     (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม

     ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท”

ในการกระทำความผิดหมิ่นประมาทที่เป็นเรื่องส่วนตัว กฎหมายไม่ให้พิสูจน์เลย การที่จะพิสูจน์ได้ก็เฉพาะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่น พิสูจน์ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น ตามมาตรา 330  “ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน”

1. ไม่โต้ตอบ เพราะหากเป็นถ้อยคำตอบโต้หรือย้อนคำกัน เป็นเรื่องต่างคนต่างว่าซึ่งกันและกันในการทะเลาะโต้เถียงกัน จะถือเป็นถ้อยคำที่เจตนาใส่ความอันเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ได้ จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎีกาที่ 3745/2527, 1545/2513)   

2. รวบรวมพยานหลักฐาน ได้แก่ บันทึก/ก๊อปปี้ ภาพถ่ายผู้กระทำผิด, ภาพ/คลิปวีดีโอข้อความหมิ่นประมาท, รายชื่อพยานบุคคลที่ยืนยันการทำผิด ไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือว่าจ้างทนายความให้ฟ้องคดีต่อศาลโดยตรง ทั้งนี้ ภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้น คดีจะขาดอายุความ เมื่อร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนแล้ว ก็มีอายุความในการฟ้องคดีภายใน 5 – 10 ปี ตามแต่ฐานความผิด

3. เรียกร้องค่าเสียหาย ในการดำเนินคดีอาญาหมิ่นประมาทผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ส่วนความเสียหายที่แต่ละคนจะเรียกร้องได้มากน้อยเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการหมิ่นประมาท ชื่อเสียงทางสังคม หรือเกียรติคุณของผู้เสียหาย หรือ  ผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของแต่ละบุคคล มิใช่ฟ้องไปเท่าไหร่ ศาลจะให้เท่านั้น

สำนักงานกฎหมายภูวรินทร์
รับว่าความทั่วราชอาณาจักร
มีปัญหา ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ
 

          

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้